เสื้อเกราะบางระจัน เป็นหนึ่งในผลงานที่ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากทีมงาน โครงการบางระจัน ซึ่งนำโดย พันตรีทรงพล เอี่ยมบุญฤทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีซิพาร์ท จำกัด ซึ่งได้บุกเบิกการผลิตเสื้อเกราะสัญชาติไทย เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2543 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจที่เสี่ยงอันตราย ได้มีเสื้อเกราะกันกระสุนราคาถูกแต่คุณภาพเท่าเทียมมาตรฐานสากลไว้ใช้อย่างทั่วถึง เสื้อเกราะบางระจันนอกจากจะลดการสูญเสียของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักแล้ว ยังเพิ่มความมั่นใจและเพิ่มประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยงภัยอีกส่วนหนึ่งด้วย
อุปกรณ์ที่จำเป็นและเป็นที่ต้องการ อย่างมากของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน แต่เนื่องจากเสื้อเกราะในขณะนั้นยังไม่มีการผลิตในประเทศต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศราคาประมาณ 2-3 หมื่นบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากทางราชการไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะจัดซื้อให้กับหน่วยงานที่มีความต้องการได้อย่างทั่วถึง ทั้งยังมีข้อจำกัดทางกฎหมายซึ่งถือว่าเป็นยุทธภัณฑ์ มีกฎระเบียบควบคุมการซื้อขายและการครอบครอง ทำให้การจัดซื้อต้องติดขัดล่าช้าไม่ทันต่อความต้องการของหน่วยงาน
จุดเริ่มต้น พันตรีทรงพล เอี่ยมบุญฤทธิ์ หรือ “ ผู้พัน “ เล่าว่า ขณะนั้นได้มีงานวิจัยที่ทำร่วมกับ สกว. ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของภาครัฐ และ สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ กระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับเครื่องยิงกระสุนยาง เครื่องช่วยฝึกของทหารตำรวจ ซึ่งต้องร่วมงานกับเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจอยู่ตลอดเวลา ในครั้งแรกได้รับตัวอย่างเสื้อเกราะซึ่งผลิดในอเมริกา ซึ่ง พ.ต.ต. ศรายุทธ อรุณฉาย ขณะนั้นมีตำแหน่ง สว.ผ. ฝึกอบรมพิเศษของ 191 นำมาจากอเมริกามาให้ดู แล้วบอกว่า “พี่ช่วยทำให้หน่อยได้ไหมตำรวจส่วนใหญ่ไม่มีใส่กัน “ นั่นคือจุดเริ่มต้น และจากเสื้อเกราะต้นแบบตัวนั้นทีมวิจัยของ บางระจันก็ได้นำแผ่นเหล็กที่ประกอบอยู่ในเสื้อเกราะต้นแบบนั้นมาวิเคราะห์ และทำการทดลองนำเหล็กแผ่นพิเศษที่ทีมงานนำไปชุบเคลือบด้วยเทคนิคพิเศษเพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นเหล็กกันกระสุนได้ เมื่อมาทดสอบโดยใช้ปืนขนาดต่าง ๆ รวมทั้งกระสุนขนาด .357กระสุนเจาะเกราะ ปรากฏว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะกระสุนขนาดต่างๆ รวมทั้ง ขนาด .357 เจาะเกราะไม่สามารถทะลุผ่านแผ่นเหล็กชุบเคลือบพิเศษของ “บางระจัน” ได้ เสื้อเกราะบางระจันรุ่นแรกจึงเกิดขึ้น ถึงแม้จะมีน้ำหนักมากกว่าตัวต้นแบบจากอเมริกา 2 กก.แต่มีระดับป้องกันกระสุนถึง ระดับ 3A ตามมาตรฐาน NIJ ของอเมริกาแต่มีราคาเพียง 1 ใน 5 ของเสื้อเกราะจากอเมริกา ข้อสำคัญที่สุดคือ เสื้อบางระจันไม่มีอายุการใช้งาน และซ่อมได้
เขาว่า “บางระจัน” โลว์ เทค “ ผู้พัน” บอกว่าถูกต้องเสื้อบางระจันในรุ่นแรก ๆ ของเราโลว์เทค แต่ เป็นของโลว์เทคที่รักษาชีวิตคุณได้ เสื้อบางระจันไม่ใช่แมวเปอร์เซียราคาแพงที่มีไว้โชว์ แต่เป็นแมวธรรมดาที่จับหนูให้เจ้าของทุกวัน เสื้อบางระจันในรุ่นแรก ๆ ซึ่งเป็นเสื้อเกราะแข็งมักจะมีคนพูดว่ามีน้ำหนักมาก เนื่องจากใช้แผ่นโลหะชุบเคลือบพิเศษเป็นแผ่นป้องกันกระสุน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันกระสุนได้ตามมาตรฐาน แต่มักมีผู้นำไปเปรียบกับ เสื้อเกราะอ่อนของต่างประเทศที่ใช้ใยสังเคราะห์ Kevlar แม้จะมีน้ำหนักเบา ทำให้สวมใส่สบายกว่า แต่เสื้อเกราะอ่อนที่ใช้ใยสังเคราะห์ Kevlar ก็มีจุดอ่อน เพราะมีอายุการใช้งานเพียง 5-6 ปี ทั้งไม่สามารถป้องกันกระสุนที่มีอานุภาพสูงเช่นกระสุนขนาด .357 หรือกระสุนเจาะเกราะได้ และไม่สามารถป้องกันการแทงด้วยมีดปลายแหลมได้ และเมื่อเปียกน้ำหรือมีความชื้นเส้นใยจะเสื่อมสภาพ และซ่อมไม่ได้ แต่เสื้อบางระจันแม้จะมีน้ำหนักมากกว่า แต่มีอายุใช้งานตลอดชีวิต สามารถนำมาซ่อมหรืออัพเกรดได้ตลอดเวลา นอกจากเสื้อเกราะมาตรฐานของบางระจันแล้ว สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ยังมี เสื้อเผชิญเหตุ ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าเสื้อเกราะมาตรฐานของบางระจัน กล่าวคือจากการศึกษาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจภาระกิจที่มีการเสี่ยงอันตรายคือ การเข้าจับกุม, ตั้งด่าน, ตรวจค้น และไล่ล่าคนร้าย นั้นจะมีลักษณะการประทะหรือยิงต่อสู้กันทางด้านหน้า ซึ่งต่างกับภารกิจทางทหาร เสื้อเผชิญเหตุของบางระจัน จะมีแผ่นกันกระสุนเฉพาะที่ด้านหน้าเท่านั้น ทำให้มีน้ำหนักเบาขึ้นและเจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีความคล่องตัวและมั่นใจในการปฏิบัติงาน
“ผู้พัน” ได้บอกเตือน ผู้ที่มีเสื้อเกราะอ่อนที่ใช้ใยสังเคราะห์ Kevlar ให้คอยตรวจที่ป้ายฉลากว่าหมดอายุใช้งานหรือยัง รวมทั้งเตือนถึงผู้ที่ซื้อเสื้อมือสองจากแถวหลังกระทรวงมาใช้นั้นยิ่งอันตรายมาก เพราะเสื้อเกราะมือสองเหล่านั้นใช้กันมาตั้งแต่สมัยสงครามเวียตนามซึ่งหมดอายุการใช้งานแล้วทั้งสิ้น อย่าหลงภูมิใจว่าใส่ของนอกอยู่ เพราะการใส่เสื้อเกราะที่หมดอายุการใช้งานก็เหมือนไม่ได้ใส่เสื้อเกราะ และเมื่อเกิดเหตุขึ้นผู้นั้นอาจจะไม่มีโอกาสกลับมาเปลี่ยนเสื้อใหม่ได้
ปัจจุบัน ”เสื้อบางระจัน” ได้พัฒนาโลหะพิเศษกันกระสุน ให้มีน้ำหนักเบากว่าแผ่นโลหะ ที่เคยใช้กับเสื้อบางระจันในรุ่นแรก ๆ นอกจากนี้ยังได้นำวัสดุแผ่นใยสังเคราะห์พิเศษ (Polyethylene) มาใช้ร่วมกับแผ่นเซรามิคทำให้เสื้อบางระจันในปัจจุบันมีน้ำหนักเบาเท่าเทียมกับของต่างประเทศ มีระดับการป้องกันกระสุนตามมาตรฐาน NIJ ได้ตั้งแต่ ระดับ IIA ถึงระดับ ІV สามารถสั่งผลิตเป็นพิเศษได้ตามแบบและขนาดที่ต้องการ และแน่นอนมีราคาที่ถูกกว่าของต่างประเทศ
ประสิทธิภาพของเสื้อบางระจัน ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างกว้างขวางจากเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะใน เหตุการณ์ความไม่สงบทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เสื้อบางระจันได้รับการพิสูจน์ใน สถานการณ์จริงได้รักษาชีวิตเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของเราไว้ได้หลายครั้ง จนเป็นที่กล่าวขานกันในหมู่ผู้ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า “ ถ้าหาเสื้อบางระจันมาใส่ไม่ได้ ก็ต้องหาหลวงพ่อดังที่สุดมาห้อยคอ”
ภูมิใจไทยทำ ความสำเร็จเสื้อบางระจันที่มาถึงทุกวันนี้ได้นั้น เพราะความมุ่งมั่นของทีมงานบางระจันที่มีความเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต แต่ขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันที่มีคุณภาพ ซึ่งกว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ ต้องพบกับคำสบประมาทมากมาย เสียงคัดค้านทั้งจากภายในองค์กรบริษัทของตัวเองและจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในชั้นต้น โดยเฉพาะเมื่อต้องต่อสู้กับค่านิยมว่าของนอกต้องดีกว่า ปัจจุบันเสื้อบางระจันได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานและเจ้าหน้าที่อย่างกว้างขวาง และกระทรวงกลาโหมได้ออกหนังสือรับรองคุณภาพเสื้อเกราะบางระจันว่า มีมาตรฐานเทียบเท่า US. STANDARD NIJ 0101.04 เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยและทีมงานบางระจันและเป็นข้อพิสูจน์ว่า คนไทยก็มีความสามารถผลิตเสื้อเกราะที่มีคุณภาพดีทัดเทียมของต่างประเทศได้ และภูมิใจที่จะใช้ชื่อ “บางระจัน” ติดไว้ที่เสื้อเกราะของเราทุกตัว เพื่อประกาศด้วยความภาคภูมิใจว่านี่คือผลงานของคนไทย
ข้อมูล
สิวอัมพิการะวี อุปพงศ์
โทร 086-320-1252
ทดสอบการป้องกันกระสุนจากอาวุธสงครามหลายชนิดของเสื้อเกราะบางระจันที่สระบุรี ของโครงการบางระจัน